คู่สมรสกำลังปรึกษาแพทย์เรื่องการฉีดยากระตุ้นไข่เพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์

ฉีดยากระตุ้นไข่ท้องง่ายขึ้นจริงไหม ทำอย่างไรให้ได้ผล ?

ในช่วงเวลานี้ หลายคนเริ่มมองหาทางออกเพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่แพทย์มักแนะนำให้ลองก่อนเข้าสู่กระบวนการรักษาที่ซับซ้อนกว่านั้นก็คือ “การฉีดยากระตุ้นไข่”

แม้หลายคนจะเคยได้ยินคำนี้มาบ้าง แต่ก็อาจยังไม่เข้าใจว่าการฉีดยากระตุ้นไข่คืออะไร ทำงานอย่างไร และจำเป็นสำหรับทุกคนหรือไม่ ความสับสนเหล่านี้พบได้บ่อยในผู้ที่กำลังวางแผนจะเป็นพ่อแม่ เพราะฉะนั้น การทำความเข้าใจขั้นตอนนี้ตั้งแต่พื้นฐานจึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ ที่จะช่วยให้คุณเตรียมตัวได้ถูกต้องและเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้มากขึ้น

การฉีดยากระตุ้นไข่คืออะไร ทำงานอย่างไร ?

การฉีดยากระตุ้นไข่คือการใช้ฮอร์โมนกระตุ้นให้รังไข่สร้างไข่ที่เติบโตและสุกเต็มที่ พร้อมสำหรับการตกไข่ตามจังหวะที่เหมาะสม โดยฮอร์โมนที่ใช้ ได้แก่ FSH (Follicle Stimulating Hormone) หรือบางครั้งอาจผสมกับฮอร์โมน LH (Luteinizing Hormone) ซึ่งล้วนเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่ในผู้หญิงบางคนระบบฮอร์โมนอาจไม่สมดุลหรือทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้ไข่ไม่โตหรือไม่ตกตามปกติ

เมื่อฉีดฮอร์โมน กระบวนการพัฒนาไข่ในรังไข่จะถูกกระตุ้นให้ทำงานดีขึ้น รังไข่จะผลิตไข่ได้มากกว่าเดิม และทำให้แพทย์สามารถควบคุมช่วงเวลาตกไข่ได้แม่นยำขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่กำลังพยายามตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาที่เหมาะสม การทำ IUI หรือการเตรียมเก็บไข่เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF, ICSI) เพราะไข่จะเติบโตในช่วงเวลาที่คาดการณ์ได้ และมีคุณภาพเหมาะสมต่อการนำไปใช้ในขั้นตอนถัดไป

ฉีดยากระตุ้นไข่ เหมาะกับใครบ้าง ?

ถึงแม้กระบวนการฉีดยากระตุ้นไข่จะเป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้ดี แต่ก็ไม่ได้จำเป็นสำหรับผู้หญิงทุกคน การประเมินความเหมาะสมร่วมกับแพทย์จึงเป็นสิ่งสำคัญ

ผู้ที่มีปัญหาไข่ไม่ตกหรือรอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ

กลุ่มนี้พบได้บ่อย เช่น ผู้ที่มีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ทำให้ไข่ไม่เจริญเต็มที่และไม่ตกตามรอบ การใช้ฮอร์โมนจะช่วยให้ไข่พัฒนาได้ดีขึ้นและมีโอกาสตกไข่ได้มากขึ้น

คู่สมรสที่พยายามตั้งครรภ์ตามธรรมชาติเกิน 1 ปี

หากมีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอแต่ยังไม่ตั้งครรภ์ แพทย์มักใช้การฉีดยากระตุ้นไข่เป็นวิธีแรก ๆ เพื่อช่วยกำหนดช่วงตกไข่ให้ชัดเจนขึ้น ทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์สูงกว่าเดิม

ผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาภาวะมีบุตรยาก เช่น IUI, IVF หรือ ICSI

การกระตุ้นไข่ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในทุกเทคนิค เพราะช่วยให้แพทย์เก็บไข่ได้จำนวนเพียงพอและอยู่ในคุณภาพที่เหมาะสมต่อการปฏิสนธิและการพัฒนาตัวอ่อน

ผู้ที่ต้องการเพิ่มจำนวนไข่เพื่อเก็บแช่แข็งสำหรับใช้ในอนาคต

สำหรับผู้ที่อยากฝากไข่ การกระตุ้นไข่จะช่วยให้เก็บไข่ได้จำนวนมากในรอบเดียว ทำให้มีตัวเลือกมากขึ้นในอนาคต ทั้งสำหรับคนที่ยังไม่พร้อมมีบุตร หรือผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาโรคที่ส่งผลต่อระบบเจริญพันธุ์

ฉีดยากระตุ้นไข่กี่วันถึงจะตกไข่ ?

โดยทั่วไป การฉีดยากระตุ้นไข่จะใช้เวลาประมาณ 8 – 12 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของรังไข่ของแต่ละคน ระหว่างกระบวนการแพทย์จะทำอัลตราซาวนด์เป็นระยะเพื่อติดตามการเจริญเติบโตของถุงไข่ และปรับขนาดยาให้เหมาะสม เพื่อให้รังไข่ตอบสนองได้ดีและปลอดภัยที่สุด

เมื่อถุงไข่โตถึงขนาดที่เหมาะสม แพทย์จะทำการฉีดเข็มกระตุ้นไข่ตก (hCG trigger) เพื่อส่งสัญญาณให้ไข่ตก โดยไข่มักจะตกภายในช่วง 36 – 40 ชั่วโมงหลังฉีด ซึ่งช่วงเวลานี้ถือเป็นจังหวะที่ดีที่สุดสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงการทำ IUI หรือการเก็บไข่ในกระบวนการทำ IVF และ ICSI

ข้อดีของการฉีดยากระตุ้นไข่

หลังจากเข้าใจกระบวนการฉีดยากระตุ้นไข่ตกแล้ว หลายคนอาจอยากรู้ว่าขั้นตอนนี้ช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้อย่างไร ข้อดีต่อไปนี้คือเหตุผลที่แพทย์มักแนะนำให้ใช้ในการรักษา

ควบคุมจังหวะไข่ตกได้แม่นยำกว่าเดิม

การรู้เวลาตกไข่อย่างชัดเจนทำให้แพทย์สามารถกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการพยายามตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นการมีเพศสัมพันธ์ การทำ IUI หรือการเก็บไข่ในกระบวนการ IVF, ICSI ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จได้มากขึ้น

ช่วยให้ไข่เติบโตสมบูรณ์มากขึ้น

เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาไข่ไม่ตกเองหรือถุงไข่โตไม่เต็มที่ การใช้ฮอร์โมนจะช่วยกระตุ้นทำให้ไข่พัฒนาได้ดีขึ้นและพร้อมต่อการปฏิสนธิมากกว่าเดิม

เสริมประสิทธิภาพการรักษาภาวะมีบุตรยาก

ในกระบวนการทำ IUI หรือ IVF การมีไข่หลายใบและมีคุณภาพดี เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออัตราความสำเร็จ การฉีดยากระตุ้นไข่ตกจึงช่วยให้ขั้นตอนเหล่านี้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

วิธีเตรียมตัวก่อนและหลังฉีดยากระตุ้นไข่

การเตรียมร่างกายและทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การกระตุ้นไข่ได้ผลดีขึ้น การดูแลตัวเองในช่วงนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

พักผ่อนให้เพียงพอและลดความเครียด

การนอนหลับที่มีคุณภาพและการจัดการความเครียดเป็นเรื่องจำเป็น เพราะระดับฮอร์โมนที่แปรปรวนจากความเครียดอาจส่งผลให้รังไข่ตอบสนองต่อยากระตุ้นได้ไม่ดีเท่าที่ควร

ทานอาหารที่ช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อฮอร์โมนได้ดี

ควรเน้นทานอาหารที่มีโปรตีน ผักใบเขียว และไขมันดี ซึ่งล้วนช่วยสนับสนุนระบบฮอร์โมนและการพัฒนาไข่ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักระหว่างกระตุ้นไข่

ในช่วงฉีดยากระตุ้น รังไข่มักขยายตัวมากกว่าปกติ การออกกำลังกายอย่างหนักอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะรังไข่บิดตัว จึงควรเลือกกิจกรรมเบา ๆ เช่น เดินช้า ๆ หรือยืดเหยียดแทน

ไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง

แพทย์จะติดตามขนาดถุงไข่ พร้อมกับปรับขนาดยาให้เหมาะสม และกำหนดช่วงเวลาฉีดเข็มกระตุ้นไข่ตกอย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะส่งผลต่อความสำเร็จของการรักษาในแต่ละรอบ

หลังฉีดยากระตุ้นไข่และทำเด็กหลอดแก้วกับ Bangkok IVF Clinic (BIC) หญิงสาวก็ตั้งครรภ์ในที่สุด

ยังไม่สำเร็จ Bangkok IVF Clinic (BIC) คลินิกที่ให้บริการด้านภาวะมีบุตรยากในกรุงเทพฯ ยินดีให้คำปรึกษาและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม โดยอยู่ภายใต้การดูแลของ นพ.วิวรรธน์ ชินพิลาศ แพทย์ผู้ชำนาญด้านการเจริญพันธุ์ที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปี ร่วมกับแพทย์และพยาบาลที่เข้าใจความกังวลของผู้ที่อยากมีลูก

ที่ BIC Clinic เรามีเทคโนโลยีการรักษาภาวะมีบุตรยาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยากระตุ้นไข่ตก การฝากไข่การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) และการคัดกรองพันธุกรรมตัวอ่อน (PGT-A) เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสให้คู่สมรสได้มีบุตรสมความตั้งใจ แม้ในกรณีที่มีภาวะซับซ้อนหรือเคยผ่านการรักษามาก่อน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายปรึกษาได้ที่

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Guide to IVF Success: Lifestyle, Medications, and More. สืบค้นเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 จาก https://www.healthline.com/health/guide-prepare-for-ivf.
This site is registered on wpml.org as a development site.