IUI, IVF และ ICSI คือเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ช่วยเพิ่มโอกาสมีบุตรสำหรับผู้มีภาวะมีบุตรยาก

อยากมีลูกต้องรู้ IUI, IVF และ ICSI คืออะไร เลือกอย่างไร ?

หลายคู่แต่งงานที่อยู่ระหว่างการวางแผนตั้งครรภ์ด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ อาจยังไม่แน่ใจว่าระหว่างการทำ IVF กับ ICSI ต่างกันอย่างไร รวมถึงอีกหนึ่งวิธีที่หลาย ๆ คนพูดถึงก็คือ การทำ IUI คืออะไร ?ซึ่งแต่ละเทคนิคล้วนมีส่วนช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการมีบุตร แต่วิธีไหนที่ได้ผลมากกว่ากัน ? การเข้าใจถึงกระบวนการและความแตกต่างของทั้ง 3 เทคนิคนี้ จะช่วยให้คู่สมรสสามารถตัดสินใจวางแผนการรักษาร่วมกับแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

1. IUI คืออะไร มีขั้นตอนอย่างไร ?

IUI (Intrauterine Insemination) หรือ “การฉีดเชื้ออสุจิเข้าสู่โพรงมดลูก” เป็นวิธีที่ไม่ซับซ้อนมากนัก แพทย์จะให้ฝ่ายชายเก็บน้ำกาม แล้วนำไปคัดกรองเพื่อเอาเชื้ออสุจิที่แข็งแรงจำนวนมากกว่า 10 ล้านตัว ก่อนฉีดเข้าสู่โพรงมดลูกในวันที่ฝ่ายหญิงมีไข่ตก ทำให้สเปิร์มและไข่มีโอกาสพบกันและเกิดการปฏิสนธิได้ง่ายขึ้น

ขั้นตอนการทำ IUI

  1. แพทย์อาจให้ยากระตุ้นไข่เพื่อเพิ่มโอกาสการตกไข่
  2. ติดตามการเจริญเติบโตของไข่ด้วยอัลตราซาวนด์
  3. เอาน้ำกามมาคัดกรองเพื่อให้ได้เชื้ออสุจิที่แข็งแรงไม่น้อยกว่า 10 ล้านตัว
  4. ฉีดอสุจิเข้าสู่โพรงมดลูกในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด

IUI เหมาะกับใคร ?

การทำ IUI เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับคู่สมรสที่ฝ่ายหญิงมีท่อนำไข่ที่ยังทำงานได้ และฝ่ายชายมีจำนวนอสุจิและการเคลื่อนไหวอยู่ในเกณฑ์ดี เหมาะกับผู้ที่มีภาวะมีบุตรยากไม่รุนแรง อีกทั้งการทำ IUI มักเป็นจุดเริ่มต้นของการรักษาภาวะมีบุตรยาก เพราะกระบวนการไม่ซับซ้อน ค่าใช้จ่ายไม่สูง และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน

2. IVF คืออะไร มีขั้นตอนอย่างไร ?

IVF (In Vitro Fertilization) หรือที่หลายคนรู้จักกันว่า “เด็กหลอดแก้ว” คือวิธีการที่ช่วยให้ผู้หญิงและผู้ชายที่เผชิญกับภาวะมีบุตรยากมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ โดยแพทย์จะเก็บไข่ของฝ่ายหญิงและอสุจิจากฝ่ายชายออกมา แล้วทำการปฏิสนธิภายนอกร่างกายในห้องปฏิบัติการ จากนั้นจึงเลี้ยงตัวอ่อนจนถึงระยะบลาสโตซิสต์ (Blastocyst Stage) และย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก

ขั้นตอนการทำ IVF

  1. กระตุ้นรังไข่เพื่อให้ได้ไข่หลายใบ
  2. เก็บไข่และอสุจิออกมา
  3. ผสมไข่กับอสุจิภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดในห้องแล็บ
  4. เพาะเลี้ยงตัวอ่อนจนระยะบลาสโตซิสต์ (Blastocyst Stage)
  5. ย้ายตัวอ่อนที่สมบูรณ์ที่สุดเข้าสู่โพรงมดลูก

IVF เหมาะกับใคร ?

การทำ IVF คือหนึ่งในวิธีที่เหมาะสำหรับฝ่ายหญิงที่มีปัญหาท่อนำไข่ตีบหรือตัน รวมถึงผู้ที่มีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกผิดปกติ หรือเคยทำ IUI มาแล้วแต่ไม่สำเร็จ และยังใช้ได้กับกรณีที่ฝ่ายชายมีคุณภาพของอสุจิที่ไม่ดี แต่ยังสามารถนำมาผสมกับไข่เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิภายนอกร่างกายได้

3. ICSI คืออะไร มีขั้นตอนอย่างไร ?

ICSI (Intra Cytoplasmic Sperm Injection) หรือที่หลายคนเรียกว่า “การทำอิ๊กซี่” เป็นวิธีที่ช่วยเติมเต็มความหวังให้กับคู่สมรสที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ โดยแพทย์จะคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงเพียง 1 ตัว แล้วฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง เพื่อเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิให้สูงขึ้น

ขั้นตอนการทำ ICSI

  1. กระตุ้นรังไข่และเก็บไข่ เช่นเดียวกับการทำ IVF
  2. เก็บอสุจิ โดยอาจเก็บจากน้ำเชื้อ หรือจากการผ่าตัดเก็บอสุจิโดยตรง (PESA/TESE) หากฝ่ายชายมีภาวะไม่มีอสุจิในน้ำเชื้อ
  3. เลือกอสุจิ 1 ตัว ต่อไข่ 1 ใบ แล้วฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง
  4. เพาะเลี้ยงตัวอ่อนจนถึงระยะที่เหมาะสม
  5. ย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก

การทำ ICSI เหมาะกับใคร ?

ICSI คือวิธีที่เหมาะสำหรับฝ่ายชายที่มีปัญหาอสุจิจำนวนต่ำ เคลื่อนไหวไม่ดี หรือรูปร่างผิดปกติ และฝ่ายหญิงมีไข่จำนวนน้อย คุณภาพไข่ไม่สม่ำเสมอ หรือมีประวัติทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ วิธีนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าการปฏิสนธิจะเกิดขึ้น และยังเหมาะกับคู่สมรสที่ต้องการเพิ่มโอกาสให้ได้ตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีสำหรับการย้ายเข้าสู่โพรงมดลูก

เปรียบเทียบวิธีการทำ IUI, IVF, และ ICSI ต่างกันอย่างไร เหมาะกับใคร

IUI, IVF, และ ICSI ต่างกันอย่างไร ?

IUI, IVF, และ ICSI คือเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่มีข้อดีและวิธีการที่แตกต่างกัน ทำให้เหมาะสมกับการรักษาภาวะมีบุตรยากที่ต่างกันไปในแต่ละคู่สมรส รวมถึงมีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์และค่าใช้จ่ายก็ย่อมต่างกันไปด้วย

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง IUI, IVF และ ICSI

เทคนิค

วิธีการหลัก

เหมาะกับใคร ?

IUI

ฉีดอสุจิที่คัดเลือกเข้าสู่โพรงมดลูกเพื่อให้เกิดการปฏิสนธิเอง

  • คู่สมรสที่ไม่พบสาเหตุภาวะมีบุตรยากชัดเจน และฝ่ายหญิงอายุไม่เกิน 36 ปี
  • ฝ่ายชายมีปัญหาคุณภาพอสุจิเพียงเล็กน้อย
  • ฝ่ายหญิงมีท่อนำไข่อย่างน้อย 1 ข้างที่ยังทำงานได้

IVF

ผสมไข่และอสุจินอกร่างกาย แล้วย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก



  • ผู้หญิงที่ท่อนำไข่อุดตัน หรือมีความผิดปกติของท่อนำไข่
  • ผู้ที่ทำ IUI แล้วไม่สำเร็จ

ICSI

ฉีดอสุจิเพียง 1 ตัวเข้าไปในไข่โดยตรงในห้องปฏิบัติการ แล้วจึงย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก

  • คู่สมรสที่ฝ่ายชายมีจำนวนอสุจิน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือรูปร่างผิดปกติ
  • คู่สมรสที่เคยทำ IVF แล้วไม่สำเร็จ หรือผู้ที่พบว่าไม่มีการปฏิสนธิของไข่ 

อัตราความสำเร็จของการทำ IUI, IVF และ ICSI

แม้ว่าแต่ละเทคนิคจะมีจุดเด่นของตนเอง แต่สิ่งที่หลายคู่ให้ความสำคัญคือ “โอกาสสำเร็จ” โดยทั่วไป การทำ IUI มักมีอัตราความสำเร็จที่ต่ำกว่าวิธีอื่น ๆ เนื่องจากยังพึ่งพากลไกธรรมชาติของร่างกาย ขณะที่การทำ IVF และ ICSI มีอัตราความสำเร็จที่สูงกว่าการทำ IUI เพราะสามารถควบคุมขั้นตอนการปฏิสนธิและคัดเลือกตัวอ่อนได้อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จยังขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล เช่น อายุของฝ่ายหญิง ความปกติของมดลูกและเยื่อบุโพรงมดลูก คุณภาพไข่และอสุจิ รวมถึงสุขภาพโดยรวมของทั้งคู่

ค่าใช้จ่ายของการทำ IUI, IVF และ ICSI

ในด้านค่าใช้จ่าย IUI จะมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ส่วน IVF และ ICSI จะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามความซับซ้อนของกระบวนการ โดย ICSI มักมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า IVF เล็กน้อย เพราะต้องใช้เทคนิคพิเศษในการฉีดอสุจิเข้าไปในไข่โดยตรง

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกวิธีที่เหมาะสม ซึ่งไม่ควรตัดสินใจจากค่าใช้จ่ายหรืออัตราความสำเร็จเพียงอย่างเดียว แต่ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ผู้ชำนาญการการรักษาภาวะมีบุตรยาก เพื่อประเมินปัญหาเฉพาะของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง แล้วจึงวางแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคู่สมรสแต่ละคู่

การปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์เกี่ยวกับการทำ IVF

เตรียมความพร้อมก่อนเลือกวิธีรักษา

การตัดสินใจเลือกระหว่าง IUI, IVF หรือ ICSI ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแต่ละวิธีมีทั้งข้อดี ข้อจำกัด และค่าใช้จ่ายที่ไม่เหมือนกัน อีกทั้งโอกาสความสำเร็จก็แตกต่างกันไปด้วย การเตรียมความพร้อมที่ดีตั้งแต่แรกจะช่วยให้คู่สมรสลดความกังวลและเพิ่มความเป็นไปได้ในการตั้งครรภ์ได้มากขึ้น

สิ่งที่ควรทำก่อนตัดสินใจ ได้แก่

ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผู้มีบุตรยาก

การพูดคุยกับแพทย์เป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุด เพราะแพทย์จะช่วยวิเคราะห์ปัญหาเฉพาะของทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย เช่น ปริมาณไข่ คุณภาพอสุจิ สุขภาพมดลูก หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์

ตรวจสุขภาพร่างกายและจิตใจอย่างละเอียด

นอกจากการตรวจเลือด ฮอร์โมน และอัลตราซาวนด์แล้ว คู่สมรสควรดูแลสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง และเตรียมจิตใจให้พร้อม เพราะการรักษาอาจต้องใช้เวลาและมีความกดดันอยู่บ้าง

ทำความเข้าใจแต่ละกระบวนการให้ชัดเจน

การรู้รายละเอียดของแต่ละวิธี ไม่ว่าจะเป็น IUI, IVF หรือ ICSI จะช่วยให้คุณและคู่ครองมองเห็นภาพรวมของการรักษา เข้าใจข้อจำกัด และเลือกแนวทางที่สอดคล้องกับเป้าหมายและความพร้อมของตัวเอง

เมื่อมีข้อมูลที่ครบถ้วนและการสนับสนุนจากแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ คู่สมรสก็จะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ และเลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดเพื่อเติมเต็มความฝันของการมีลูกได้อย่างสมใจ

หากคุณกำลังวางแผนการมีลูกและยังลังเลอยู่ว่า ควรทำ IUI, IVF หรือทำอิ๊กซี่ (ICSI) ดี หรือวิธีไหนที่เหมาะกับคู่ของคุณ แพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์จาก Bangkok IVF Clinic (BIC) ยินดีให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดและใช้เทคโนโลยีการรักษาที่ได้มาตรฐานเพื่อดูแลในทุกขั้นตอน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Intrauterine insemination (IUI). สืบค้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 จาก https://www.mayoclinic.org/tests-procedures/intrauterine-insemination/about/pac-20384722
  2. IVF. สืบค้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 จาก https://www.nhs.uk/tests-and-treatments/ivf/
  3. Intracytoplasmic Sperm Injection (ICSI). สืบค้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 จาก https://my.clevelandclinic.org/health/treatments/22463-intracytoplasmic-sperm-injection
This site is registered on wpml.org as a development site.